สถานการณ์การเมืองในช่วงพฤษภาคมและมิถุนายนที่เข้มข้นไปกับการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อการแข่งขันการเลือกตั้ง 2554 เพื่อให้ได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ สิ่งที่ประชาชนคาดหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ คือได้รัฐบาลที่ดีขึ้นเพื่อช่วยให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นและต้องการให้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองลดลง เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าเปิดเผยว่าปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ยังมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมทั้ง หากโลกถูกคุกคามจากภัยก่อการร้าย จนเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และราคาน้ำมันแพงเกิน 120-130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเพียง 3.5-3.9% ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ถึง 60% ที่เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเติบโต 4.4% เพราะมั่นใจว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ และการเลือกตั้งน่าจะดำเนินไปอย่างปกติ รวมถึงนโยบายของรัฐบาลยังสามารถประคองเศรษฐกิจไปได้ถึงสิ้นปี สำหรับปัจจัยบวกสำคัญที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังมาจากการใช้จ่ายช่วงเลือกตั้ง ที่คาดจะมีเงินสะพัด 40,000-50,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวยังวิตกกับสถาณการณ์การเมืองที่ไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดวิกฤติแบบใด หากพรรคที่ไม่ใช่พวกของตนได้เป็นรัฐบาลจะเกิดการประท้วงรุนแรงและบานปลายหลังเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อการท่องเที่ยวของไตรมาสสาม ต่อกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองในรัฐสภายืนยัน รัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องตื่นตัวเลือกคนดีเข้าสภา ประเทศจะดีขึ้นแน่นอน สิ่งที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเสนอต่อรัฐบาลใหม่ให้เร่งดำเนินการ คือ การจัดการความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ควรต้องมีการแก้ไขอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้ง เหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชา เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และนำการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียให้กลับมาเป็นดาวเด่นอีกครั้งหนึ่ง